
โรคไข้เลือดออกคืออะไร?
โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเขตร้อนและกึ่งร้อน โดยมี เชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) เป็นสาเหตุหลัก ซึ่งไวรัสชนิดนี้มีอยู่ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (DEN-1, DEN-2, DEN-3 และ DEN-4) เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อหนึ่งสายพันธุ์และหายแล้ว หากได้รับเชื้อไวรัสอีกสายพันธุ์หนึ่งในภายหลัง จะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ภาวะช็อกจากไข้เลือดออก (Dengue Shock Syndrome) หรือ ภาวะเลือดออกง่าย (Dengue Hemorrhagic Fever) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การแพร่เชื้อจากยุงลาย
ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) เป็นพาหะหลักของโรคไข้เลือดออก โดยมักกัดในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าและบ่าย เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดจากผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี ไวรัสจะเข้าไปเจริญในร่างกายของยุง และเมื่อยุงไปกัดคนอื่นต่อ ก็จะทำให้เชื้อไวรัสถูกส่งต่อไปยังผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน
ความรุนแรงของโรค
โรคไข้เลือดออกไม่ใช่แค่ “ไข้ธรรมดา” เพราะมีโอกาสพัฒนาไปสู่อาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- สายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่ติด
- สุขภาพและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
- การดูแลรักษาอย่างทันท่วงที
ความชุกในประเทศไทยและภูมิภาค
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดของไข้เลือดออกสูงที่สุดในโลก เนื่องจากภูมิอากาศร้อนชื้นเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของยุงลาย ในช่วงฤดูฝนมักพบผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นทุกปี กรมควบคุมโรคเคยรายงานว่าในบางปีมีผู้ป่วยหลักแสนราย และมีผู้เสียชีวิตนับร้อยราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนว่าโรคนี้ไม่ควรถูกมองข้าม
อาการของโรคไข้เลือดออก
อาการของโรคไข้เลือดออกแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค โดยสามารถแบ่งออกเป็น อาการเบื้องต้น และ อาการรุนแรง ซึ่งหากไม่สังเกตอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
อาการเบื้องต้น
ในระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยมักจะแสดงอาการที่คล้ายไข้หวัดทั่วไป ทำให้หลายครั้งถูกมองข้าม อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นภายใน
4–10 วันหลังจากถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด ได้แก่:
- ไข้สูงเฉียบพลัน มักสูงกว่า 38.5–40 องศาเซลเซียส และกินเวลาติดต่อกันหลายวัน
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหรือกระบอกตา
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและน้ำได้ง่าย
- ผื่นแดงหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ใต้ผิวหนัง อาจปรากฏขึ้นบริเวณแขน ขา หรือหน้าอก
![]() |
![]() |
อาการรุนแรงที่ต้องระวัง
หากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาการของไข้เลือดออกสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาการอันตรายได้แก่:
- เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดา หรือเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
- อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด สัญญาณบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อน
- หน้ามืด เวียนศีรษะ หรือช็อก ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายมีการรั่วของพลาสมา ทำให้ปริมาณเลือดไม่เพียงพอ
- อาการซึมลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
ความแตกต่างจากไข้ทั่วไป
สิ่งที่ทำให้ไข้เลือดออกแตกต่างจากไข้หวัดหรือไข้ทั่วไป คือ ไข้สูงแบบฉับพลันร่วมกับอาการเลือดออกและอาเจียน หากพบลักษณะเหล่านี้ในตัวผู้ป่วย ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคไข้เลือดออกและรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
วงจรชีวิตและพฤติกรรมของยุงลาย
ยุงลาย (Aedes aegypti และ Aedes albopictus) เป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกที่สำคัญที่สุด วงจรชีวิตของยุงลายสั้นเพียงไม่กี่วัน แต่สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วหากมีแหล่งเพาะพันธุ์น้ำขัง
วงจรชีวิตของยุงลาย
ยุงลายมีวงจรชีวิต 4 ระยะ ได้แก่:
- ไข่ – ยุงลายตัวเมียวางไข่ในภาชนะที่มีน้ำ เช่น แจกัน ยางรถยนต์เก่า ขวดน้ำ ฝาขวด หรือโอ่ง ไข่สามารถทนทานต่อสภาพแห้งได้หลายเดือน และจะฟักเมื่อน้ำท่วมถึง
- ตัวอ่อน (ลูกน้ำ) – ฟักออกมาและอาศัยอยู่ในน้ำ คอยกินเศษอินทรียวัตถุและสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ
- ตัวโม่ง – ระยะเปลี่ยนผ่านก่อนเป็นยุงตัวเต็มวัย ไม่กินอาหาร แต่อาศัยอยู่ในน้ำ
- ยุงตัวเต็มวัย – ใช้เวลาเพียง 7–10 วันจากไข่จนกลายเป็นยุงเต็มวัย ตัวเมียจะดูดเลือดเพื่อใช้สร้างไข่ ในขณะที่ตัวผู้กินเพียงน้ำหวานจากพืช

พฤติกรรมการกัดและแพร่เชื้อ
- กัดในเวลากลางวัน โดยเฉพาะช่วงเช้า (09.00–11.00 น.) และช่วงบ่าย (15.00–17.00 น.)
- เลือกกัดคนมากกว่าสัตว์ ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อสู่มนุษย์สูง
- ตัวเมียเป็นตัวการหลัก เพราะต้องการเลือดไปใช้ในการเจริญเติบโตของไข่
- การบินในระยะใกล้ ยุงลายมักบินไม่ไกลเกิน 100 เมตรจากแหล่งเพาะพันธุ์ หมายความว่าถ้ามียุงลายในบ้านหรือชุมชน โอกาสที่คนรอบข้างจะติดเชื้อก็สูงมาก
แหล่งเพาะพันธุ์ยอดนิยม
ยุงลายไม่ได้อาศัยในป่าลึกเหมือนยุงก้นปล่อง แต่กลับชอบอยู่ใกล้คน โดยเลือกวางไข่ในน้ำขังเล็ก ๆ รอบบ้านหรือสถานที่ทำงาน เช่น:
- กระถางต้นไม้ที่มีน้ำขัง
- ถาดรองกระถาง
- ยางรถยนต์เก่า
- ขวดและภาชนะทิ้ง
- โอ่งน้ำที่ไม่ได้ปิดฝา
แหล่งน้ำเพียงเล็กน้อย เช่น น้ำในฝาขวดน้ำอัดลม ก็เพียงพอให้ยุงลายวางไข่และขยายพันธุ์ได้แล้ว
ปัจจัยเสี่ยงและสถานการณ์การระบาดในประเทศไทย
โรคไข้เลือดออกถือเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย การแพร่ระบาดเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในบางช่วงเวลา โดยมีหลายปัจจัยที่ทำให้โรคนี้ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อคนไทย
ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นการระบาด
1. สภาพภูมิอากาศ
-
- ประเทศไทยมีภูมิอากาศร้อนชื้น เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของยุงลาย
- ฤดูฝน (พฤษภาคม–ตุลาคม) เป็นช่วงที่พบการระบาดสูงสุด เพราะมีน้ำขังตามภาชนะและสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก
- อุณหภูมิสูงช่วยให้วงจรชีวิตของยุงสั้นลง ทำให้จำนวนยุงเพิ่มอย่างรวดเร็ว
2. สภาพแวดล้อมในชุมชนและบ้านเรือน
-
- ขยะหรือภาชนะที่มีน้ำขังไม่ได้รับการจัดการ
- การจัดเก็บน้ำโดยไม่มีฝาปิด เช่น โอ่งน้ำ ถังน้ำ
- โรงงานหรือสถานประกอบการที่ไม่ได้ตรวจสอบพื้นที่เป็นประจำ
3. ปัจจัยด้านสังคมและพฤติกรรม
-
- การขยายตัวของเมืองและชุมชนแออัด ทำให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเพิ่มขึ้น
- ประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้และความตระหนักในการป้องกันโรค
- การเดินทางข้ามจังหวัดหรือประเทศ ส่งผลต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
สถานการณ์การระบาดในประเทศไทย
- ประเทศไทยมีการรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกหลายหมื่นถึงแสนรายต่อปี และมีผู้เสียชีวิตทุกปี
- จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค (อ้างอิงปีล่าสุดที่มีข้อมูล) พบว่าโรคไข้เลือดออกระบาดสูงในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
- ในบางจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และพื้นที่ภาคอีสาน มักมีรายงานผู้ป่วยจำนวนมาก เนื่องจากมีทั้งความหนาแน่นของประชากรและสภาพสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุงลาย
พื้นที่เสี่ยงที่ควรระวัง
- โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก: มีแหล่งน้ำขังรอบอาคาร และเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง
- ชุมชนเมืองและชุมชนแออัด: ปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อมไม่ทั่วถึง
- โรงงานและสถานประกอบการ: มีภาชนะหรือวัสดุเหลือใช้ที่อาจกักเก็บน้ำได้
![]() |
![]() |
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกแม้จะเป็นโรคร้าย แต่สิ่งสำคัญคือ สามารถป้องกันได้ หากเราจัดการแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและลดโอกาสการถูกยุงกัด โดยแนวทางการป้องกันสามารถทำได้ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับชุมชน
การป้องกันยุงลายในบ้าน
1. กำจัดแหล่งน้ำขังรอบบ้าน
-
- คว่ำภาชนะที่ไม่ได้ใช้ เช่น กระป๋อง กะลา หรือยางรถยนต์เก่า
- เปลี่ยนน้ำในแจกันหรือถาดรองกระถางต้นไม้ทุก 7 วัน
- ทำความสะอาดรางน้ำฝนและท่อระบายน้ำให้ไหลสะดวก
2. ใช้มุ้งลวดหรือมุ้งนอน
-
- ป้องกันไม่ให้ยุงลายบินเข้ามาภายในบ้าน โดยเฉพาะในห้องนอน
- ใช้มุ้งกางให้เด็กเล็กนอนตอนกลางวัน เพราะเป็นช่วงที่ยุงลายออกหากิน
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุง
-
- ทายากันยุงที่มี DEET, Picaridin หรือสมุนไพรไล่ยุง เช่น ตะไคร้หอม
- จุดยากันยุงหรือใช้เครื่องไล่ยุงไฟฟ้าในช่วงที่ยุงชุก
4. เลี้ยงปลาในโอ่งหรือภาชนะเก็บน้ำ
-
- เช่น ปลาหางนกยูง เพื่อช่วยกินลูกน้ำยุงลายตามธรรมชาติ
![]() |
![]() |
หลัก 3 เก็บ ป้องกันไข้เลือดออก
กรมควบคุมโรคได้แนะนำมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ซึ่งเป็นแนวทางง่าย ๆ ที่ทุกครัวเรือนสามารถทำได้ ได้แก่:
- เก็บบ้าน ให้สะอาด โล่ง โปร่ง อากาศถ่ายเท ไม่เป็นที่หลบซ่อนของยุง
- เก็บขยะ และของใช้ไม่จำเป็น ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำ
- เก็บน้ำ โดยปิดฝาภาชนะให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็ก ๆ ทุกสัปดาห์
การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไข้เลือดออกได้อย่างมาก
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคร้ายแรงที่มาจาก ยุงลาย ตัวเล็ก ๆ แต่สร้างผลกระทบใหญ่ต่อสุขภาพของคนไทยทุกปี ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ หากละเลยการป้องกัน แม้โรคนี้ยังไม่มียารักษาเฉพาะ แต่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้คือ การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด และการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างจริงจัง
การดูแลบ้านเรือน ชุมชน โรงเรียน หรือแม้แต่โรงงานให้ปลอดจากน้ำขังและสิ่งแวดล้อมที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง คือหัวใจสำคัญของการควบคุมโรค หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยและป้องกันการสูญเสียได้อย่างมีนัยสำคัญ
👉 ถึงเวลาแล้วที่คุณควรลงมือป้องกัน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรการ 3 เก็บในบ้าน การดูแลสิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน หรือการใช้บริการกำจัดแมลงและควบคุมยุงจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว คนที่คุณรัก และสังคมโดยรวม








